ฝากไว้

อย่าใช้แอพเถื่อนเพื่อให้ ผู้พัฒนา มีกำลังใจในการพัฒนาต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Tagged Under: ,

ข้อผิดพลาด 10 ประการ ที่ Microsoft ทำไว้ใน Windows 8 ที่มาของการแก้ไขใน Windows 10

Share
ข้อผิดพลาด 10 ประการ ที่ Microsoft ทำไว้ใน Windows 8 ที่มาของการแก้ไขใน Windows 10



ได้อ่านบทความ Windows 8, one year later: 10 mistakes Microsoft made (and how they plan to fix things) ของเว็บไซต์ ZDNet แล้วรู้สึกว่า เออ มันน่าสนใจดีแฮะ และก็อย่างที่เขาว่า มันผ่านมาแล้ว 1 ปี และ Microsoft ก็กำลังเตรียมปล่อย Windows 8.1 มาอัพเดต เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้น เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว ระบบปฏิบัติการ Windows 8 ที่ทาง Microsoft หมายมั่นปั้นมือว่าจะเอามาแข่งกับคู่แข่งได้นั้น มันกลับไม่เปรี้ยงปร้างอย่างที่คิดกัน … แล้วข้อผิดพลาดของ Microsoft อยู่ตรงไหนล่ะ?!?

Microsoft ไปพลาดตรงไหนกับ Windows 8 ละเนี่ย

ในฐานะผู้ใช้ Windows 8 มาตั้งแต่ตัวทดลองใช้ เรื่อยมาจนถึงตัวพรีวิว และมาถึงตัวเต็ม (ซึ่งในฐานะที่มีโอกาสได้เข้าไปดาวน์โหลดจาก MSDN เลยทำให้ได้เล่นตัวเต็มก่อนใครๆ หลายคนอยู่) ผมต้องขอบอกว่า ชอบเจ้านี่มากกว่า Windows 7 อีกครับ และคอมพิวเตอร์ที่บ้่านทุกเครื่อง (ที่เป็น PC) ณ ตอนนี้ ก็อัพเกรดมาเป็น Windows 8 (แน่นอน ของแท้นะครับ) ทุกเครื่องแล้ว
แต่ที่ผมได้อ่านบทความของ ZDNet ผมก็เห็นด้วยจริงๆ ว่า Microsoft เขาพลาดในเรื่องเหล่านั้น และผมก็เลยขอเอาเฉพาะหัวข้อมาเล่าสู่กันอ่าน แล้วผมก็จะใส่ความเห็นเข้าไปตามสไตล์ผมเช่นเคยครับ

1. คำนวณผิดไป คิดว่าผู้ใช้งานจะเลิกคิดถึง Desktop ได้
Microsoft เขายึดแนวคิด One Size Fits All ดังนั้นเลยพยายามที่จะกึ่งหักดิบ ยัดเยียด Start screen แบบใหม่มาให้ผู้ใช้งานใช้ ด้วยหวังว่าพวกเขาจะเคยชิน แต่เอาเข้าจริง ปรากฏว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ “มากเกินไป” จนผู้ใช้งานหลายๆ คนรับไม่ได้ สุดท้าย ใน Windows 8.1 นั้น Microsoft ก็เลยจะต้องยอมให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าพอล็อกอินเข้ามาแล้ว จะบูตไปที่ Desktop แทนไหม
จริงๆ แล้ว Microsoft สามารถทำให้ Start screen ทำหน้าที่แทน Desktop ได้ กล่าวคือ อยากจะท่องเว็บ ดูหนัง ฟังเพลง เบราวซ์ไฟล์ต่างๆ ได้จาก Windows Store App ต่างๆ เลย ผมก็เชื่อว่าผู้ใช้งานจำนวนไม่น้อย ก็อาจจะพอยอมรับที่จะใช้ Start screen ตัวใหม่ได้บ้าง … แรกๆ อาจจะตะกุกตะกักไปบ้าง แต่นานๆ เข้าไปมันก็จะเริ่มชิน … แต่ปัญหาก็คือ Microsoft ยังทำผิดพลาดในข้อที่ 3 และ 4 นี่แหละ (อ่านต่อไปนะ)

2. เดิมพันพลาดในเรื่องขนาด และ รูปร่าง
Windows 8 มาพร้อมกับการล็อกสเปกอย่างแรงพอสมควร คือ ความละเอียดหน้าจอต่ำกว่า 1366 x 768 พิกเซล จะใช้ฟีเจอร์ของ Windows 8 ไม่ได้หลายอย่างเลย และส่วนใหญ่หน้าจอที่จะมีความละเอียดสูงระดับนี้ก็ต้องมีขนาดหน้าจอ 10.1 นิ้วขึ้นไป และนี่ยังไม่รวมถึงอัตราส่วนการแสดงผลที่ต้องเป็น 16:9 เท่านั้นด้วย … เรียกว่าผู้ผลิตฮาร์ดแวร์เจอข้อจำกัดไปเยอะมาก และผลสุดท้ายมันมาจบลงด้วยสนนราคาของเครื่องที่ค่อนข้างแพง
แน่นอนว่า Microsoft (หรือผู้ผลิตอื่นๆ) อาจจะบอกได้ว่าที่แพงเนี่ย เพราะมันคือ Notebook + Tablet นะ สามารถทำงานแทนทั้งสองอุปกรณ์ได้ในหนึ่งเดียว แต่พวกเขาอาจลืมไปว่า อุปกรณ์ที่ใช้ทำงานนั้น ผู้ใช้งานมักจะใช้กันจนคุ้มครับ คือ อาจจะใช้ 2-3  ปี หรือนานกว่านั้น … โน้ตบุ๊กของผมนี่ ผมมักจะใช้ซัก 4-5 ปีด้วยซ้ำ หากฮาร์ดแวร์มันไม่พังไปซะก่อน … ในขณะที่พวก Tablet เนี่ย ผู้ใช้งานมีการเปลี่ยนรุ่นที่ค่อนข้างบ่อยกว่า ด้วยสนนราคาที่ถูกกว่า และ หากเป็นรุ่นยอดนิยม ราคาขายมือสองก็ยังได้ดีอยู่ แต่พวกโน้ตบุ๊กมันจะไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย
มองในแง่นี้ ผู้ใช้งานย่อมคิดว่า การแยกโน้ตบุ๊ก และ Tablet เป็นอุปกรณ์คนละชิ้นกัน ย่อมเหมาะสมกว่า

3. First-party app (App ที่มาพร้อมกับเครื่อง) ด้อยศักยภาพ
แม้ว่าเราจะสามารถดาวน์โหลด App มาช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับ Windows 8 ได้ แต่สิ่งที่จำเป็นที่สุดจริงๆ คือ Microsoft ควรจะมี App พื้นฐานที่สามารถใช้งานได้ดีในระดับหนึ่งเตรียมพร้อมไว้ โดยพิจารณาจากสิ่งที่ผู้ใช้งานทำบ่อยๆ เลย ได้แก่ การท่องเว็บ, ดูหนัง, ฟังเพลง, รับส่งอีเมล์, ดูรูป … Microsoft จะต้องมี App บน Windows Style UI ที่ทำเรื่องพวกนี้ได้ดี
แต่จนแล้วจนรอด App เหล่านี้ก็ด้อยศักยภาพเกินไป จนผู้ใช้งานหลายๆ คน ต้องไปพึ่งพา App บน Desktop … ใช่ครับ ผมลองใช้งานดูแล้ว พวก App ที่ Microsoft ให้มาบน Desktop ก็ยังมีศักยภาพที่ดีกว่า App บน Windows Style UI ที่ควรจะเป็นจุดขายของ Windows 8 … และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สุดท้าย ผู้ใช้งานก็ยังผละจาก Desktop ไปไม่ได้

4. Third-party app ก็มาช้า … และมาในสภาพที่ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร
จากข้อที่ 3. เมื่อกี้ เมื่อ Microsoft ทำให้ดีไม่ได้ ก็ต้องไปหวังพึ่ง Third-party app หรือก็คือ App ที่นักพัฒนาอื่นๆ เขาทำออกมาให้ใช้บน Windows Style UI โดยดาวน์โหลดผ่าน Windows Store … แต่ปัญหาก็คือ พวก App เหล่านี้ ออกมาช้ากันจริงๆ อย่าง App ที่คนใช้กันเยอะๆ เช่น Twitter นี่กว่าจะออกมาก็หลังจาก Windows 8 ออกมาแล้วตั้ง 4 เดือน (แถมจนถึงตอนนี้ ผมต้องบอกว่ามันยังมีประสิทธิภาพที่ง่อนแง่นอยู่เลย) ส่วน Facebook นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันยังอยู่ในสถานะที่เรียกว่า “มาแน่ๆ แต่ยังไม่ทำนะ” อะไรประมาณนั้น ทั้งๆ ที่นี่ก็จะมี Windows 8.1 แล้ว … ได้ข่าวว่า Microsoft ถือหุ้น Facebook อยู่นี่หว่า ไหงชักช้าได้อ้ะ (เหอๆ)
การที่ขาดแคลน App และอีกหลายๆ App ก็มาในสภาพที่ใช้ประโยชน์เต็มที่ได้ยากนี้ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สุดท้ายคนก็ยังไม่เห็นถึงคุณประโยชน์ของการปรับตัวเข้ากับ Start screen ไงล่ะ (และสิ่งที่ Microsoft ควรทำให้รันบน Windows Style UI ได้มากที่สุดคือ Microsoft Office … แต่จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่ออกมาซะที)

5. ผู้ใช้งานยังหาประโยชน์ของหน้าจอสัมผัสไม่เจอ
หมายถึง ประโยชน์ของหน้าจอสัมผัส ในการใช้ Windows 8 นะครับ … มันเป็นผลต่อเนื่องมาจากการที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ ยังคงยึดติดกับ Desktop อยู่นั่นแหละ เลยทำให้พวกเขานึกไม่ออกว่าหน้าจอสัมผัสมันจะมีประโยชน์อะไรนักหนา ในเมื่อการใช้ Trackpad/Mouse ร่วมกับ Keyboard ก็ทำอะไรได้หลายๆ อย่างสบายๆ อยู่แล้ว … และจะว่าไปแล้ว Microsoft ออกแบบ Gesture ของ Windows 8 ได้ไม่ค่อยดีนัก ทำให้สุดท้าย คนหันไปพึ่งพา Trackpad/Mouse และ Keyboard shortcut ซะมากกว่า
ไม่ต้องอะไรมากหรอกครับ แค่การปิด App เนี่ย คุณต้องลากจากขอบด้านบนสุดของหน้าจอมาด้านล่าง … ลองนึกถึงการลากบนหน้าจอ 10.1 นิ้วแบบแนวตั้งสิ หรือ หากใครมี All-in-One ขนาดหน้าจอ 27 นิ้ว คุณต้องลากยาวแค่ไหน … และพอผมยกสิ่งนี้มาเป็นประเด็น คำตอบจากทาง Microsoft ที่ผมได้รับคือ 1) ใช้ Alt + F4 แทน (แล้วแบบนี้ใครจะเห็นประโยชน์ของจอสัมผัสล่ะพี่น้อง) กับ 2) Windows 8 มีการจัดการทรัพยากรหน่วยความจำที่ดี เราไม่จำเป็นต้องปิด App เลย (แต่ถ้าเราต้องเปิดซัก 20 App ละก็ ไม่คิดบ้างเหรอว่าการสลับ App มันจะลำบาก?!?)

6. ฮาร์ดแวร์มันยังไม่พร้อม
ตอนที่ Windows 8 ออกมานั้น บรรดาผู้ผลิตยังไม่มีฮาร์ดแวร์ที่สามารถดึงขีดความสามารถของ Windows 8 มาได้อย่างเต็มที่อยู่ … และจนถึงตอนนี้เอง ก็ยังมี Desktop, Notebook, Hybrid tablet, Convertible จำนวนไม่มากเท่าไหร่ ที่สามารถดึงความสามารถของ Windows 8 ออกมาใช้ได้เต็มที่ และอันไหนที่ดึงออกมาได้เต็มที่ ก็มักจะมีราคาสูงเอาเรื่อง (ไม่ต้องเอาไกล ดู Lenovo Helix ก็ได้ครับ … ตัวนี้เจ๋งมาก ดีไซน์สวยด้วย … แต่แพงโฮก)
และ Windows 8 ก็เผชิญปัญหา Hardware fragmentation หนักเอาเรื่อง เพราะฮาร์ดแวร์ที่รันระบบปฏิบัติการ Windows 8 ได้นั้น มีตั้งแต่ PC รุ่นเก่าๆ ที่ไม่มีหน้าจอสัมผัส มาจนถึง PC รุ่นกลางเก่ากลางใหม่ ที่มีจอสัมผัสแบบดั้งเดิม (ที่ไม่เหมาะกับการใช้กับระบบปฏิบัติการ Windows 8) มาจนถึง PC รุ่นใหม่ๆ ที่รองรับระบบปฏิบัติการ Windows 8 ดีแล้ว … ความแตกต่างนี้ก่อให้เกิดประสบการณ์ในการใช้งานที่แตกต่างกันไประหว่างผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก

7. Crapware หรือ Bloatware
อันนี้ไม่เชิงว่าจะเป็นความผิดของ Microsoft ซะทีเดียว … แต่มันน่าจะเป็นความผิดของผู้ผลิต PC มากกว่า ที่ยัดเยียดพวกโปรแกรมต่างๆ ที่เราไม่ต้องการมาให้ จนเราต้องวุ่นวายไปไล่ Uninstall ออก เสียเวลาทำมาหากิน … แต่ก็ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ผลิต PC เขาจะทำแบบนี้ ก็แหม ยอดขาย PC ก็ร่วงเอาๆ แถมต้องจ่ายค่า License ให้กับ Microsoft อีก ดังนั้น ต้องรับเงินจากผู้ผลิตซอฟต์แวร์ ยัดพวก Crapware หรือ Bloatware มา Preinstalled ในเครื่องไว้ซักหน่อย อย่างน้อยก็พอมีรายได้บ้าง

8. การตัดสินใจเรื่องการสร้างแบรนด์ที่ผิดพลาด
จนถึงตอนนี้ ถ้าถามผมว่า User Interface แบบใหม่ของ Windows 8 เขาเรียกว่าอะไร … ผมคงตอบว่า Windows Style UI … แต่หากถามว่า แล้ว Microsoft เขาเรียกแบบนั้นจริงๆ เหรอ?!? ผมก็ไม่แน่ใจแฮะ
ก่อนหน้านี้ Microsoft เรียก User Interface แบบใหม่ของตนว่า Metro UI และสื่อต่างๆ ผู้ใช้งานทั้งหลาย ก็เรียกแบบนี้กันจนติดปาก จนกระทั่งวันหนึ่ง เหมือน Microsoft จะมีปัญหาถูกฟ้องร้อง เรื่องการใช้ชื่อ Metro เลยทำให้ Microsoft เลิกเรียก User Interface แบบใหม่ว่า Metro UI เลย แล้วก็ดันไม่หาชื่อใหม่มาเปลี่ยนแทน เลยทำให้เวลาเราจะระบุว่า โปรแกรม หรือ App มันแตกต่างกันยังไง เราเลยไม่มีชื่อกลางไว้ใช้เวลาเรียก
หลายๆ คน เลยยังคงเรียกว่า Metro App ต่อไป (Microsoft ไม่ใช้ แต่ตูจะใช้ ใครจะทำไม ประมาณนั้น) ส่วนตัวผมเองนั้น ผมเรียกมันว่า Windows Store App ครับ

9. การตลาดที่ไปผิดทาง
โฆษณา Windows 8 ของ Microsoft นั้น มีเวอร์ชันสำหรับแต่ละประเทศครับ ของไทยเราก็มี แต่ผมหาไม่เจอ เลยเอาของอินโดนีเซียมาให้ดูแล้วกัน แต่ของไทยก็ประมาณนี้แหละ

10. ผู้ใช้งานงง และ Microsoft ก็ดูจะไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลย
อันนี้เป็นสิ่งที่ผมวิพากษ์ไปตั้งแต่ตอนเล่น Windows 8 แรกๆ แล้วว่า Microsoft เปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรไปเยอะมากใน Windows 8 แต่ไม่มีการให้ความรู้ใดๆ แก่ผู้ใช้งานเลย … ลง Windows 8 ครั้งแรก Microsoft สอนแค่ว่า เรียก Charm ออกมายังไง แล้วก็เรียก App Switcher ยังไง แค่นั้นเอง แต่อะไรเป็นอะไร ให้ผู้ใช้งานไปตรัสรู้กันเอาเอง
ในกรณีที่ Windows 8 เป็นเจ้าแรกที่ทำแบบนี้ อาจจะไม่มีปัญหา เพราะหากออกแบบ Gesture ให้ดี มันก็เข้าใจได้ง่าย และ พอเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่นี่ออกมาหลังจากที่ iPad และ Android tablet เขาครองตลาดไปเยอะแล้ว และผู้ใช้งานก็ชินกับ Gesture แบบนั้น มากกว่าที่จะมาทำความเข้าใจกับ Gesture ของ Windows 8
แบรนด์อื่นๆ อย่าง HP, Dell, Samsung ฯลฯ เขาก็พยายามที่จะใส่วิดีโอ และ คอนเท้นท์สำหรับสอนผู้ใช้งาน แต่นั่นก็ทำได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้นเอง แต่เห็นว่าใน Windows 8.1 นั้น Microsoft น่าจะมีการเตรียมตัวช่วยเหลือ และ ทิป & Techniques มาไว้ให้ อะไรๆ ก็น่าจะดีขึ้น (ปกติ Microsoft จะบอกว่า สามารถค้นหาวิธีใช้จากอินเทอร์เน็ตได้ … แต่ เอิ่ม สำหรับผู้ใช้งานหลายๆ คน ขนาดจะใช้ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง แล้วจะให้ต่อเน็ตหาข้อมูลกันยังไงล่ะ)

ที่มา

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น